IGF-1 (Insulin-like Growth Factor 1)

เป็นโปรตีนที่สร้างขึ้นจากตับ ผ่านทางการกระตุ้นโดย Growth hormone จากต่อมใต้สมอง มีความสำคัญในกระบวนการเจริญเติบโตของเซลล์ต่างๆ การยับยั้งกระบวนการ apoptosis (การตายของเซลล์อย่างเป็นระบบ) และกระตุ้นการสร้างหลอดเลือด (Angiogenesis) ซึ่งกลไกเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญต่อการเจริญของร่างกายในวัยเด็กและการซ่อมแซมในผู้ใหญ่ แต่ในทางกลับกัน เมื่อเกิดความไม่สมดุลของระดับ IGF-1 ก็อาจกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งเสริมการเจริญของเซลล์มะเร็งได้ โดยเฉพาะในบางรายงานวิจัยได้พบว่าระดับ IGF-1 ที่สูงเกินไป อาจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจาก IGF-1 มีความสัมพันธ์กับกระบวนการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและการขยายพันธุ์ของมัน

การตรวจ IGF-1 มักนำมาใช้ในการประเมินระดับของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตในร่างกาย เพื่อทำการวินิจฉัยหรือติดตามสภาพการเจริญเติบโตของบุคคล รวมถึงการนำมาใช้ในการวิเคราะห์สภาพทางสุขภาพอื่นๆ เช่น การประเมินภาวะเสี่ยงต่อภาวะเบาหวาน หรือภาวะต่อมไทรอยด์ไม่สมดุล เป็นต้น

Insulin-like Growth Factor Binding Protein 3 (IGFBP3) เป็นโปรตีนที่ผูกกับ Insulin-like Growth Factor (IGF) ในเลือด การตรวจระดับ IGFBP3 ในร่างกายมักจะใช้เพื่อประเมินสภาพการเจริญเติบโตและการแบ่งแยกของเซลล์ รวมถึงการทำงานของโปรตีน IGF ในร่างกาย IGFBP3 มีหน้าที่ผูกกับ IGF-1 และ IGF-2 เพื่อส่งผ่านไปยังเซลล์เป้าหมาย เมื่อ IGFBP3 ผูกกับ IGF จะทำให้ IGF มีอายุยาวขึ้นในกระบวนการเข้าสู่เซลล์เป้าหมาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตและการพัฒนาของเซลล์ การวัดระดับ IGFBP3 ในร่างกายช่วยในการประเมินสถานะของการเจริญเติบโต รวมถึงการวินิจฉัยหรือติดตามสภาพทางสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระดับ IGF ในร่างกาย

Melatonin

คือ ฮอร์โมนที่สร้างขึ้นจากต่อมไพเนียล (Pineal gland) ซึ่งอยู่บริเวณกึ่งกลางของสมองส่วนซีรีบรัมซ้ายและขวา มีขนาดเท่ากับเมล็ดข้าว ทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมวงจรการนอนหลับและการตื่นของร่างกาย โดยการหลั่งของเมลาโทนินจะขึ้นอยู่กับระดับของแสง หลั่งมากในความมืดและน้อยในเวลากลางวัน จึงเป็นกลไกสำคัญในการบอก “นาฬิกาชีวิต” ของเรา

นอกจากช่วยส่งเสริมการนอนหลับที่มีคุณภาพแล้ว เมลาโทนินยังมีบทบาทในการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง และภาวะซึมเศร้า อีกทั้งยังมีส่วนช่วยควบคุมกระบวนการ เผาผลาญพลังงาน การเจริญเติบโตของเซลล์ ตลอดจนการพัฒนาของสมองในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น

นอกจากนี้ เมลาโทนินยังมีส่วนในการยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง และลดการแพร่กระจายของเนื้องอก (Anti-cancer effect)  จากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของเมลาโทนิน จึงช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายจาก ปฏิกิริยาออกซิเดชัน ที่อาจนำไปสู่การพัฒนาของมะเร็งได้ อีกทั้งเมลาโทนินเป็นตัวปรับสมดุล การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน (Immunomodulator) ส่งเสริมการทำงานของ T-cell และ Natural killer cell ในการตรวจจับและทำลายเซลล์มะเร็ง   และควบคุมการแสดงออกของยีนบางชนิด ที่เกี่ยวข้องกับการลุกลามของมะเร็ง โดยควบคุมการแบ่งตัวและการตายของเซลล์ การศึกษาบางงานวิจัยพบว่าระดับเมลาโทนินในเลือดที่ต่ำ ซ่ึงอาจเกิดจากการนอนหลับไม่่เพียงพอ หรือการสัมผัสแสงไฟในตอนกลางคืน เช่น การทำงานกะดึก เพิ่มความเสี่ยงของการกลายพันธุ์ของเซลล์ และการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง   พบอุบัติการณ์ความเสี่ยงที่สูงของมะเร็งบางประเภท เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้

กล่าวได้ว่า เมลาโทนินไม่เพียงเกี่ยวข้องกับการนอนหลับเท่านั้น แต่ยังเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทลึกซึ้งต่อสุขภาพ โดยรวมของร่างกายในทุกช่วงวัย

Estrogen

ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเลือดสามารถบอกถึงสถานะของระบบสืบพันธุ์และสุขภาพเพศหญิงได้หลายประการ นับถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการวินิจฉัยและการจัดการกับสภาวะที่เกี่ยวข้องกับระดับฮอร์โมนนี้ ดังนี้:

  1. การตรวจความเสี่ยงเกี่ยวกับมะเร็ง:ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสามารถช่วยในการตรวจสอบความเสี่ยงเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ เนื่องจากมะเร็งเหล่านี้มีการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนนี้ เป็นอันดับแรกก่อนที่จะเป็นโรค
  2. การวิเคราะห์สมรรถภาพสืบพันธุ์:ในผู้หญิงที่ต้องการมีบุตรหรือมีปัญหาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ การตรวจระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสามารถช่วยในการประเมินสมรรถภาพสืบพันธุ์ของผู้หญิง รวมถึงการติดตามการรักษาเพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์
  3. การวินิจฉัยและรักษาภาวะที่เกี่ยวกับระบบสุขภาพที่เกี่ยวกับฮอร์โมน:ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสามารถใช้ในการวินิจฉัยภาวะที่เกี่ยวกับระบบสุขภาพที่เกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น ภาวะวัยหมดประจำเดือน ภาวะความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศหญิง
  4. การควบคุมการรักษา:ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสามารถใช้ในการควบคุมการรักษาของผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ รวมถึงการตรวจสอบผลจากการรักษาและการปรับเปลี่ยนที่จำเป็นในการรักษาต่อไป

Estrogen Metabolite Ratio (EMR)

โดยปกติฮอร์โมนเอสโตรเจนจะถูกเผาผลาญ 2 วิธีหลัก คือ ผ่านทาง CYP1A1 ได้เป็น 2-hydroxyestrone/estradiol (2-OHE1/E2) กับ ผ่านทาง CYP1B1 ได้เป็น 4-hydroxyestrone/estradiol (4-OHE1/E2) และอีกวิธีคือผ่านทาง CYP3A4 ได้เป็น 16α-hydroxyestrone (16-OHE1)

ดังรูป

การตรวจ EMR (Estrogen Metabolite ratio) คือ การตรวจประเมินการเผาผลาญของฮอร์โมนเอสโตรเจน เพื่อหาอัตราส่วนของ 2-hydroxyestrone (2-OHE1) ต่อ 16α-hydroxyestrone (16-OHE1) ซึ่งเป็นผลจากการเผาผลาญเอสโตรเจน ตรวจได้ในในปัสสาวะ โดยหากค่าที่ได้ มากกว่า 2 หมายความว่า มีแนวโน้มความเสี่ยงต่อมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตเจนต่ำ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก

Progesterone

ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่มีบทบาทสำคัญในระบบสืบพันธุ์ และกระบวนการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนนี้ถูกผลิตขึ้นหลัก ๆ โดยรังไข่หลังการตกไข่ (ovulation) นอกจากนี้ยังถูกผลิตในปริมาณน้อย ๆ โดยต่อมหมวกไต (adrenal glands) และในช่วงการตั้งครรภ์ รก (placenta) จะผลิตฮอร์โมนนี้ด้วย การตรวจระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในเลือด เพื่อช่วยในการวินิฉัยภาวะต่างๆดังนี้

  • การประเมินการตกไข่: การตรวจฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสามารถช่วยยืนยันการตกไข่ในรอบเดือน ซึ่งสำคัญต่อการวางแผนการมีบุตร
  • การตรวจสอบภาวะการตั้งครรภ์: ระดับโปรเจสเตอโรนสูงขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ และสามารถใช้ในการประเมินความเสี่ยงของการแท้งหรือปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์
  • การวินิจฉัยภาวะทางนรีเวช: ช่วยในการวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรอบเดือนและการทำงานของรังไข่ เช่น ภาวะถุงน้ำรังไข่ หรือปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตฮอร์โมน รวมทั้งตรวจสอบความสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน

Progesterone ยังมีบทบาทป้องกัน การเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงมดลูกที่มากเกินจากฤทธิ์ของเอสโตรเจน การขาดโปรเจสเตอโรน (เช่นในวัยทอง, ภาวะไม่ตกไข่) ทำให้เยื่อบุถูกกระตุ้นโดยเอสโตรเจนเพียงอย่างเดียว มีผล เพิ่มความเสี่ยงการกลายพันธุ์เป็นมะเร็ง

Cortisol morning serum/saliva

เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นโดยต่อมหมวกไต ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการตอบสนองต่อความเครียด และการควบคุมการทำงานของร่างกายในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เครียด นอกจากนี้ คอร์ติซอลยังมีผลต่อการควบคุมการเผาผลาญพลังงานและการควบคุมการตอบสนองภูมิคุ้มกันของร่างกาย

คอร์ติซอลมักจะเพิ่มขึ้นในระดับสูงในช่วงเวลาที่เผชิญกับสถานการณ์เครียด เช่น ในการต่อสู้กับภัยธรรมชาติ การใช้งานมากของสมอง หรือการทำงานของร่างกายในสถานการณ์ที่ต้องมีการปรับตัว เช่น การออกกำลังกายหนัก การนอนไม่เพียงพอ หรือโรคที่ทำให้ร่างกายต้องเผชิญกับการเครียดเป็นเวลานาน

อย่างไรก็ตาม การมีระดับคอร์ติซอลสูงเป็นเวลานานอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย และเชื่อมโยงกับภาวะที่เรียกว่า Cushing’s syndrome หรือ Hypercortisolism ซึ่งอาจมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการเผาผลาญพลังงาน ระบบหัวใจและหลอดเลือด และเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และการเกิดมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งต้องการการรักษาและการตรวจสุขภาพเป็นระยะ เพื่อป้องกันและรักษา ภาวะที่เกิดขึ้นจากการมีฮอร์โมนคอร์ติซอลในระดับสูงเกินไปในร่างกาย

ความสัมพันธ์ระหว่าง Cortisol กับมะเร็ง

  1. ภูมิคุ้มกันที่ลดลง

ระดับ cortisol ที่สูงเรื้อรังสามารถ กดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์ T และ NK cells ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำลายเซลล์ผิดปกติ รวมถึงเซลล์มะเร็ง หากภูมิคุ้มกันถูกกดไว้นาน เซลล์มะเร็งอาจหลุดรอดการควบคุมและเติบโตได้ง่ายขึ้น

  1. การเปลี่ยนแปลงของ microenvironment รอบเนื้องอก

Cortisol ยังมีผลต่อ tumor microenvironment โดยการกระตุ้น cytokines ที่ส่งเสริมการอักเสบและ กระบวนการสร้างหลอดเลือดใหม่ (angiogenesis) ทำให้เซลล์มะเร็งสามารถลุกลามและแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น

  1. ผลต่อการลุกลามและพยากรณ์โรค

งานวิจัยบางชิ้นพบว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่มี ค่า cortisol ตอนกลางคืนสูงผิดปกติ หรือมี circadian rhythm ที่ราบเรียบ (flattened) มีแนวโน้มการรอดชีวิตที่แย่ลง เช่น ในมะเร็งเต้านม, ปอด, หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

DHEA

Dehydroepiandrosterone (DHEA) เป็นฮอร์โมนสเตียรอยด์ที่ผลิตขึ้นโดยต่อมหมวกไตเป็นหลัก และยังมีการสังเคราะห์ในสมองและผิวหนังในปริมาณเล็กน้อย โดยทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนเพศชายและหญิง เช่น เทสโทสเตอโรนและเอสโตรเจน ระดับของ DHEA จะลดลงตามอายุ อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่าง DHEA และมะเร็งนั้นซับซ้อน มีทั้งผลบวกและผลลบที่อาจเกิดขึ้นได้

ผลลบของ DHEA ต่อมะเร็ง

ในบางกรณี การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร DHEA อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งที่ไวต่อฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งต่อมลูกหมาก ความกังวลนี้เกิดจากบทบาทของ DHEA ที่เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของมะเร็งที่ไวต่อฮอร์โมน

ผลบวกของ DHEA ต่อมะเร็ง

ในทางตรงข้าม การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่า DHEA อาจมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง ในการทดลอง DHEA ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโต การเคลื่อนที่ และการอยู่รอดของเซลล์มะเร็ง ซึ่งหมายความว่าในบางกรณี DHEA อาจยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกและเพิ่มประสิทธิภาพของเคมีบำบัดได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • ยับยั้งการเจริญเติบโตและการเคลื่อนที่ของเซลล์มะเร็ง: DHEA มีผลต่อการลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง หมายความว่ามันอาจชะลอหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ ด้วยการลดการเคลื่อนที่ของเซลล์มะเร็ง DHEA อาจช่วยป้องกันการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
  • ลดความสามารถในการอยู่รอดของเซลล์มะเร็ง: DHEA มีคุณสมบัติในการลดความสามารถในการอยู่รอดของเซลล์มะเร็ง ซึ่งอาจทำให้เซลล์มะเร็งอ่อนแอลงและไวต่อการรักษามากขึ้น ซึ่งหมายความว่า DHEA อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษามะเร็งที่มีอยู่โดยการทำให้เซลล์มะเร็งไวต่อการทำลายมากขึ้น
  • ยับยั้งการก่อตัวของกลุ่มเซลล์แบบก้อน (Sphere Formation): การก่อตัวของกลุ่มเซลล์แบบก้อนสัมพันธ์กับเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง ซึ่งมักจะทนต่อการรักษาและสามารถนำไปสู่การกลับเป็นใหม่ของเนื้องอก การยับยั้งกระบวนการนี้อาจช่วยลดความสามารถของเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งในการก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนใหม่ เป็นแนวทางที่มีความหวังในการเพิ่มผลลัพธ์ของการรักษาระยะยาว
  • ยับยั้งการแสดงออกของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็ง: โปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดเซลล์ต้นกำเนิดมะเร็งมีความสามารถในการเจริญเติบโตซ้ำๆ และขยายเนื้องอก DHEA แสดงให้เห็นถึงการลดการแสดงออกของโปรตีนเหล่านี้ ซึ่งอาจลดศักยภาพในการสร้างใหม่ของเซลล์มะเร็งและช่วยชะลอการพัฒนาเนื้องอก
  • เพิ่มความไวต่อเคมีบำบัดในมะเร็งศีรษะและคอ (HNSCC): ในมะเร็งศีรษะและคอ DHEA ได้แสดงศักยภาพในการทำให้เซลล์มะเร็งไวต่อเคมีบำบัด ซึ่งอาจหมายถึง DHEA อาจเป็นสารเสริมต่อการรักษาเคมีบำบัด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและอาจลดปริมาณยาที่ต้องใช้ ซึ่งช่วยลดผลข้างเคียงจากเคมีบำบัดได้

สถานะปัจจุบันของการวิจัยเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้ DHEA อย่างเหมาะสมและเฉพาะบุคคล ถึงแม้ว่า DHEA อาจมีมูลค่าทางการรักษาในบางกรณี ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติมะเร็งที่ไวต่อฮอร์โมน

Thyroid hormone

ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนที่สำคัญ เช่น ไทรอกซิน (T4) และไตรไอโอโดไทโรนีน (T3) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเผาผลาญ พลังงาน การเจริญเติบโตของเซลล์ และภูมคุ้มกันทั่วร่างกาย ในผู้ป่วยมะเร็งหลายคน ภาวะการทำงานของต่อมไทรอยด์ลดลง ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำหรือเกิดภาวะไฮโปไทรอยด์ ภาวะนี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ผลกระทบจากโรคมะเร็งเอง การรักษาด้วยการฉายรังสีและเคมีบำบัด หรือภาวะไทรอยด์ที่ผิดปกติมาก่อน การเข้าใจความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำและมะเร็งจึงมีความสำคัญ เนื่องจากอาจส่งผลให้เกิดทั้งผลกระทบเชิงลบและประโยชน์บางประการในการจัดการกับมะเร็ง

ผลกระทบเชิงลบของภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำในผู้ป่วยมะเร็ง

ในผู้ป่วยมะเร็งหลายคน ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนหลายประการ ภาวะไฮโปไทรอยด์อาจทำให้อัตราการเผาผลาญช้าลง รู้สึกอ่อนล้า และมีปัญหาทางความคิด ซึ่งอาจลดคุณภาพชีวิตและทำให้การรักษามะเร็งมีความซับซ้อนมากขึ้น

  • อ่อนเพลียและพลังงานลดลง: ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำมักเกี่ยวข้องกับความอ่อนเพลียเรื้อรังและพลังงานทางกายภาพลดลง ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยมะเร็งเนื่องจากโรคและการรักษาอยู่แล้ว ผลกระทบนี้อาจทำให้ผู้ป่วยมีความต้านทานต่อโรคลดลง และอาจส่งผลต่อความสามารถในการเผชิญกับโรคมะเร็งและการรักษา
  • การฟื้นตัวและการสมานแผลบกพร่อง: ฮอร์โมนไทรอยด์มีความสำคัญต่อการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและการทำงานของเซลล์ที่เหมาะสม ระดับต่ำอาจทำให้การสมานแผลช้าลงและการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดหรือการรักษาที่รุกรานเกิดขึ้นได้ช้า ซึ่งอาจขัดขวางประสิทธิผลของการรักษามะเร็งบางอย่าง เนื่องจากความสามารถในการฟื้นตัวที่ดีมักเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุผลลัพธ์ที่ดี
  • ความสามารถทางความคิดบกพร่อง: ภาวะไฮโปไทรอยด์สามารถส่งผลต่อการทำงานทางความคิด ทำให้เกิดอาการสมองพร่ามัว ปัญหาความจำ และการมีสมาธิลดลง สำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่อาจประสบปัญหาทางความคิดจาก “chemo brain” ภาวะไทรอยด์ต่ำสามารถทำให้อาการเหล่านี้แย่ลง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิต
  • ความทนต่อการรักษามะเร็งลดลง: ภาวะไทรอยด์ต่ำอาจทำให้ผู้ป่วยมีความทนทานต่อการรักษามะเร็งเช่นเคมีบำบัดและการฉายรังสีลดลง ภาวะไฮโปไทรอยด์อาจเพิ่มความไวต่อความหนาวและความเจ็บปวด และทำให้อาการข้างเคียงของการรักษาแย่ลง ซึ่งอาจนำไปสู่การล่าช้าหรือการหยุดการรักษาในกรณีที่รุนแรง

ประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำในผู้ป่วยมะเร็ง

ในทางตรงกันข้าม งานวิจัยในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าระดับฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ อาจมีผลดีต่อการชะลอการเจริญเติบโตของมะเร็งในบางกรณี โดยระดับการเผาผลาญที่ลดลงและ การหมุนเวียนของเซลล์ที่ช้าลงอาจช่วยลดพลังงานที่มีให้กับเซลล์มะเร็งที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

  • การลดการเพิ่มจำนวนและการเติบโตของเนื้องอก: เซลล์มะเร็งมักมีความต้องการพลังงานสูงและพึ่งพาการหมุนเวียนของเซลล์ที่รวดเร็วเพื่อกระตุ้นการเติบโต ด้วยระดับฮอร์โมนไทรอยด์ที่ต่ำ อัตราการเผาผลาญของร่างกายจะลดลง ซึ่งอาจจำกัดทรัพยากรที่มีอยู่สำหรับกระตุ้นการเติบโตของเซลล์มะเร็ง บางการศึกษาได้สังเกตเห็นการเติบโตของเนื้องอกที่ช้าลงในผู้ป่วยที่มีภาวะไฮโปไทรอยด์ที่มีมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก
  • เพิ่มความไวต่อการรักษามะเร็งบางชนิด: ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ที่ต่ำอาจเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษามะเร็งบางประเภท โดยเฉพาะการรักษาแบบเจาะจงตัวอย่าง ในการรักษามะเร็งไทรอยด์บางกรณี การกดระดับฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อจำกัดการเจริญเติบโตของเนื้องอกและเพิ่มประสิทธิภาพของการบำบัดด้วยไอโอดีนกัมมันตรังสี
  • ยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่: ฮอร์โมนไทรอยด์มีบทบาทในกระบวนการสร้างหลอดเลือดใหม่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนและสารอาหาร ด้วยการลดระดับฮอร์โมนไทรอยด์ กระบวนการสร้างหลอดเลือดใหม่อาจถูกยับยั้ง ซึ่งช่วยลดปริมาณเลือดที่เนื้องอกได้รับ เมื่อไม่มีหลอดเลือดที่เพียงพอ เนื้องอกอาจมีปัญหาในการรับสารอาหารที่จำเป็นในการเติบโต จึงอาจช่วยลดการเจริญเติบโตของเนื้องอก
  • เพิ่มการตายของเซลล์ในเซลล์มะเร็ง: ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ที่ต่ำอาจส่งเสริมกระบวนการตายของเซลล์ หรือการตายของเซลล์ที่โปรแกรมไว้ ในเซลล์มะเร็ง งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าภาวะไฮโปไทรอยด์อาจทำให้เกิดความเครียดออกซิเดชั่นและความเสียหายต่อ DNA ในเซลล์มะเร็ง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ส่งเสริมการตายของเซลล์ ผลกระทบนี้อาจเป็นประโยชน์ในการชะลอการเติบโตของเนื้องอกและลดโอกาสที่มะเร็งจะแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกาย
Share
Akesis Life - Integrative Oncology
Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.