ผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาที่ Akesis จะมีทั้งหมดอยู่ 4 กลุ่ม อาทิเช่น
- กลุ่มผู้ที่สุขภาพที่ดีที่มีความประสงค์จะรักษาสุขภาพเพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
- กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการหรือรอยโรค และต้องการดูแลเตรียมสภาพร่างกายและจิตใจก่อนเข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาล
- กลุ่มคนไข้มะเร็งที่อยู่การรักษามะเร็งอ และต้องการทางเลือกเพิ่มเติมในการรักษา
- กลุ่มคนไข้ที่ผ่านการรักษามะเร็งและเข้าสู่ระยะสงบโรค ต้องการฟื้นฟูสุขภาพ แก้ไขต้นเหตุของปัญหาและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของโรค
เสาหลัก 5 ประการของการดูแลรักษาคนไข้มะเร็งแบบการแพทย์บูรณาการ
เสาหลักที่ 1 : การตรวจรักษาด้วยวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน
Conventional Medicine
แนวทางการตรวจวินิจฉัย รวมถึงการรักษามะเร็งตามแบบแผนของการแพทย์ปัจจุบัน จะมีการรวบรวมการศึกษาต่างๆ และผ่านการประชุมร่วมกันของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ กำหนดแนวทางในการดูแลเป็นขุ้นเป็นตอน ตั้งแต่การตรวจคัดกรอง การตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆรวมถึง การตัดชิ้นเนื้อ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แน่ชัด รวมไปถึงการประเมินระยะของโรคมะเร้ง เพื่อพิจารณาการบริหารยา หรือการทำหัตถการต่างๆในการรักษาได้แก่ การผ่าตัด การใช้เคมีบำบัด การบำบัดทางรังสีวิทยา การใช้ยามุ่งเป้า หรือยาระบบภูมิต้านทานบำบัด เป็นต้น ซึ่งในบางครั้งการรักษาที่คนไข้ได้รับ อาจไม่สามารถกำจัดต้นตอของมะเร็งได้ทั้งหมด เช่น ยากลุ่มเคมีบำบัดจะมีข้อดีคือสามารถทำลายเซลล์มะเร็งที่อยู่ในระยะแบ่งตัวได้ดี แต่อาจส่งผลน้อยมากกับ เซลล์มะเร็งต้นกำเนิดหรือ Cancer stem cell ทำให้เกิดการกลับมาเป็นซ้ำของโรค รวมไปถึงการเกิดภาวะดื้อยาของเซลล์มะเร็งอีกด้วย
ผลลัพท์ของการรักษาจึงขึ้นกับชนิดของมะเร็ง และระยะของการดำเนินโรค มะเร็งในระยะเริ่มต้นที่เมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาและสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งออกได้ทั้งหมดรวมถึงเซลล์มะเร็งต้นกำเนิดจึงมักจะมีผลลัพทธ์ที่ดีหรือมีอัตราการรอดชีวิตที่มากกว่า มะเร็งในระยะลุกลาม จากภาพที่ 6 จะเป็นข้อมูลเปรียบเทียบอัตราการรอดชีวิตใน 5 ปี เทียบกับมะเร็งในการดำเนินโรคแต่ละระยะ เช่น ถ้ามะเร้งเข้าสู่ระยะลุกลามหรือ Metastastic stage แล้วภาพรวมจากมะเร็งทุกชนิด เฉลี่ยจะมีอัตราการรอดชีวิตใน 5 ปี เหลือเพียง 26.2 % และจากสถิติเหล่านี้เอง Akesis จึงมีแนวทางของการใช้การแพทย์บูรณาการมาผสมผสาน เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนไข้ของเรา เป็น 1 ในผู้ที่ตอบสนองต่อการรักษา และกลายมาเป็นผู้ที่รอดชีวิตจากโรคมะเร็ง
เสาหลักที่ 2 : การยั้บยั้งหลายเป้าหมายการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
Multiple Targeted Therapy
ธรรมชาติของเซลล์มะเร็ง เมื่อมีการพัฒนาเติบโตขึ้นมาในร่างกายคนไข้จะมีกลไกหลายช่องทางที่เซลล์มะเร็งนั้นๆ ใช้ในการเติบโต แสดงความเป็นอมตะ ไม่ยอมฝ่อสลายไปตามธรรมชาติเหมือนกับเซลล์ทั่วๆไป การสร้างคำสั่งในการสร้างเส้นเลือด กระตุ้นการอักเสบ เปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลลังาน หลบหนีจากการตรวจจับทำลายของระบบภูมิต้าน เพื่อแทรกแซกลุกลาม และแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่างๆ ซึ่งในแต่ละกลไกทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ในวงการแพทย์ปัจจุบันได้ทำการศึกษาจนเข้าใจทุกกลไกของการเติบโตของเซลล์ในแต่ละชนิดนำไปสู่พัฒนายาใหม่ๆ การนำยาเดิมเพื่อวัตถุประสงค์ใหม่ (Repurposing Medicine) รวมไปถึงการใช้สารพฤกษเคมีจากพืชสมุนไพร เพื่อมุ่งเป้ายับยั้งในทุกกลไกต่างๆของมะเร็งนี้อีกด้วย
ล่าสุดด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์สมารถนำชิ้นเนื้อมะเร็งและเซลล์ต้นกำเนิดของมะเร็งที่ตรวจพบในเลือดคนไข้ไปตรวจสอบลักษณะทางพันธุกรรมต่างๆที่มะเร็งใช้ในการเติบโต เพื่อวางแผนในการเลือกยาให้แม่นยำและตรงกับเซลล์มะเร็งที่กำลับเติบโตอยู่ในร่างกายคนไข้อีกด้วย แนวคิดนี้เราเรียกว่า การแพทย์แม่นยำ หรือ Precision Medicine
เสาหลักที่ 3 : การรักษามะเร็งโดยอาศัยรูปแบบการใช้พลังงานเฉพาะตัวของเซลล์มะเร็ง
Metabolic Cancer Therapy
การรักษามะเร็งโดยอาศัยรูปแบบการใช้พลังงานเฉพาะตัวของเซลล์มะเร็ง จัดเป็นแนวคิดใหม่ของการบำบัดรักษามะเร็ง โดยมีรากฐานมาจากความรู้ทางชีววิทยา และชีวเคมีพื้นฐานของเซลล์มะเร็ง ซึ่งค้นพบว่า เมื่อสเต็มเซลล์ของมะเร็งแบ่งตัวเพิ่มจำนวนประชากรของเซลล์มะเร็งมากขึ้น เซลล์ลูกที่เกิดขึ้นจะมีรูปแบบการใช้พลังงานที่เปลี่ยนไปจากกระบวนการเผาผลาญที่อาศัยออกซิเจนในการสร้างพลังงาน(Oxidative phosphorylation) มาเป็นกลไกการหมักน้ำตาล (Aerobic Glycolysis) ในการสร้างพลังงานแทน จึงทำให้มีการค้นพบว่าเนื้อเยื่อมะเร็งที่กำลังเข้าสู่ระยะของการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนจะมีอัตราการใช้น้ำตาลที่สูงกว่าเซลล์ปกติ
ซึ่งจากความรู้พื้นฐานนี้จึงนำไปสู่เทคโนโลยีการตรวจหามะเร็งอาทิเช่นการตรวจ PET CT scan เพื่อดูอัตราการใช้น้ำตาลของเนื้อเยื่อมะเร็ง หรือ การตรวจเลือดวัดระดับ TKTL1 ในเม็ดเลือดขาวโมโนไซต์ ในการวิเคราะห์หาเซลล์มะเร็งในร่างกายอีกด้วยและจากรูปแบบการสร้างพลังงานเฉพาะตัวของมะเร็งนี้เองยังนำไปสู่การรักษามะเร็งทางเมทาบอลิกด้วยอาทิเช่น
– การรักษาแบบมุ่งเป้ายับยั้งการสร้างพลังงานของเซลล์มะเร็ง โดยอาศัย ยา หรือสารพฤกษเคมีที่มีการศึกษาว่า สามารถยับยั้งกลไกการสร้างพลลังานของเซลล์มะเร็งนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ยาเบาหวาน Metformin หรือ สมุนไพรสกัดจาก Berberine มีการค้นพบว่าอาจเป็นยาทางเลือกที่จะมุ่งเป้าไปยับยั้งกลไกการสลายน้ำตาลของเซลล์มะเร็งได้
– ถ้าเนื้อเยื่อมะเร็งที่กำลังแบ่งตัวเพิ่มจำนวน มีอัตราการใช้น้ำตาลที่ จึงมีการตอบสนองกับอินสุลินเพื่อดึงน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ในสัดส่วนที่มากกว่าเซลล์ทั่วไป จึงมีแนวคิดที่จะหลอกล่อให้เนื้อเยื่อมะเร็งดังกล่าวเพิ่มความไวกับยามากขึ้นด้วยการใช้ อินสุลินบำบัด ก่อนการบริหารยาหรือ สารพฤกษเคมีต่างๆ เพื่อเหนี่ยวนำยามุ่งเป้าเข้าสู่เซลล์มะเร็งได้แม่นยำขึ้น และสามารถทำให้ลดระดับการใช้ยา และลดผลข้างเคียงของยากับคนำข้มะเร็งได้ ซึ่งแนวคิดแบบนี้มีการบันทึกไว้ในหมวดหมู่หนึ่งของการรักษาทางเลือกที่เรียกว่า Insulin potentiated therapy – IPT
ปัจจุบันแนวคิดของการใช้ยาเคมีบำบัดขนาดต่ำๆหรือที่เรียกว่า Metronomic chemotherapy มีการศึกษามากขึ้น และมีรายงานถึงผลลัพทธ์ที่ดีของการรักามากขึ้นเพราะ ผลข้างเคียงจากยาที่คนไข้ได้รับน้อยลง ภูมิต้านทานของคนไข้ได้รับผลกระทบน้อย รวมไปถึงกลไกของยาขนาดต่ำเหล่านี้ ส่งผลยับยั้งการสร้างเส้นเลือดของมะเร็ง และจากที่สภาวะภูมิต้านทานคนไข้ได้รับผลกระทบน้อยลง เม็ดเลือดขาวของคนไข้จึงเกิดสภาวะจดจำเซลล์มะเร็งและสร้างภูมิต้านทานต่อต้านมะเร็งด้วยตนเองได้ดีขึ้นด้วย
รูปแบบการรักษาเหล่านี้ จึงได้รับพัฒนาขึ้นมาเป็น หนึ่งในเสาหลักของการรักษามะเร็งแบบบูรณาการเพื่อมุ่งหวังทำให้มะเร็งอ่อนแอลง จนเพิ่มโอกาสให้คนไข้สามารถเอาชนะเนื้อเยื่อมะเร็งนี้ได้มากขึ้น
เสาหลักที่ 4 : ภูมิต้านทานบำบัด (Integrative immunotherapy)
เรื่องราวของภูมิต้านทานบำบัดต่อการักษาโรคมะเร็งถือว่า เป็นอีกหนึ่งเสาหลักที่สำคัญของการรรักษามะเร็ง เพราะ ภาวะภูมิต้านทานของคนไข้ที่อ่อนแอลง ร่วมกับ ความสามารถของเซลล์มะเร็งที่หลบหนีจากระบบภูมิต้านทานของคนไข้ ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดโรคมะเร็ง
ความพยายามทางการแพทยืในการคิดค้นยา สมุนไพร หรือ วัคซีนต่างๆ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้ระบบภูมิต้านทาน รวมไปถึงการยับยั้งกลไกการหลบหนีของเซลล์มะเร็ง จึงเป็นแนวทางที่มีการศึกษามากที่สุดอันถือเป็นความหวังที่สำคัญต่อการเอาชนะโรคมะเร็งนี้ ซึ่งในปัจจุบันก็มียาแผนปัจจุบันหลายรายการที่ได้รับพัฒนาขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์นี้เช่นยากลุ่ม Check point inhibitor ซึ่งคาดหวังว่าให้ยานี้ไปเปิดสวิตซ์แสดงตัวตนของมะเร็งให้กับเม็ดเลือดขาวคนไข้ได้ (ภาพที่13) แต่อย่างไรก็ดี การศึกษากลับพบว่า การใช้ยากลุ่มนี้เพียงขนานเดียว กลับได้รับผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะกลไกที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานนั้นซับซ้อนเกินกว่าจะใช้เพียงยากลุ่มเดียว หรือขนานเดียวในการแก้ไขกลไกนี้ทั้งระบบ
การฟื้นฟูความเสื่อมความบพร่องของระบบภูมิต้านทานจึงต้องอาศัยแนวทางที่หลากหลายอาทิเช่น การใช้โภชนาการบำบัด สมุนไพรบำบัด เปปไทด์บำบัด ไทมัสสกัด หรือกลุ่มเซลล์บำบัด เพื่อฟื้นสภาพของเม็ดเลือดขาวคนไข้ให้แข็งแรงขึ้นมาไปพร้อมๆกับการฝึกฝนให้ระบบภูมิต้านทานคนไข้สามารถเรียนรู้อัตลักษณ์ต่างๆของเซลล์มะเร็งที่มีอยู่ในร่างกายคนไข้ เพื่อสร้างภูมิต้านทานถาวรในการเอาชนะมะเร็งได้ด้วยตัวคนไข้เอง เช่น การทำวัคซีนมะเร็งเฉพาะบุคคล Personalized neoantigen cancer vaccine เป็นต้น
เสาหลักที่ 5 : การใช้เวชศาสตรืวิถีชีวิตในการบำบัดรักษา และป้องกันโรคมะเร็ง ( Life style medicine cancer management and prevention )
5.1 Detoxification
สารพิษ สารเคมีที่อยู่รอบตัวอาจพบได้จาก การปนเปื้อนในอาหาร มลภาวะทางอากาศ การปนเปื้อนในน้ำ เครื่องอุปโภค บริโภค การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือแม้กระทั่งยารักษาโรคมะเร็งเองก็อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่รับสัมผัสสารพิษเหล่านี้ต่อเนื่อง หรือบางรายแม้ว่าการรับสัมผัสในปริมาณไม่มากก็อาจส่งผลเสียกับสุขภาพได้ถ้ามีความบกพร่องของกระบวนการขับพิษของร่างกาย
การรักษาโดยวิธีการขับสารพิษจึงเป็นหนึ่งหมวดสำคัญที่จัดอยู่ในแนวทางของการแพทยืวิถึชีวิต เพื่อลดปัจจัยก่ออนุมูลอิสระ ลดการบาดเจ้บ และการอักเสบระดับเซลล์ต่างๆ อันเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง
ในทุกๆเซลล์จะมีกระบวนการกำจัดขยะและของเสียออกนอกเซลล์ โดยอาศัยการทำงานของไมโทคอนเดรีย ไลโซโซม ศ่งสารพิษหรือของเสียออกมานอกเซลล์ หลักจากนั้น ของเสียเหล่านี้จะมีการเคลื่นตัวเข้าสู่ระบบไหลเวียน ทางหลอดเลือดฝอย และระบบน้ำเหลือง มีโปรตีนในระบบไหลเวียนเป็นเสมือนตัวพาดูดซับสารพิษ บางส่วนถูกขับออกทางปัสสาวะ บางส่วนจะถูกส่งไปที่ตับ และอาศัยกระบวนการเปลี่ยนแปลงสาร อันเป็นคุณลักษณะเฉพาะของเซลล์ตับ ในการขับพิษของเสียเหล่านี้ออกมาพร้อมกับน้ำดี และขับถ่ายออกมาพร้อมกับอุจจาระในสภาวะที่มีสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ที่ดี ซึ่งในทุกขั้นตอนของกลไกเหล่านี้ถ้าบกพร่อง เสียสมดุล ทำงานได้ไม่ดี ย่อมเป็นเหตุของการตกค้าง หรือ สะสมสารพิษๆเหล่านั้นไว้ในร่างกาย จนนำไปสู่การบาดเจ็บของเซลล์ ความเสื่อม หรือเหนี่ยวนำให้เกิดการกลายพันธ์เป็นมะเร็งเกิดขึ้น
การสนับสนุนการขับสารพิษออกจากร่างกาย จึงแบ่งออกเป็น
5.1.1 การกระตุ้นเซลล์ในการขับสารพิษ อาศัย การปรับอาหารมาเน้นอาหารจากพืช ดื่มน้ำผักเขียวคั้นสดเพื่อลดความเป็นกรดของเนื้อเยื่อ
5.1.2 การกระตุ้นการไหลเวียนของระบบหลอดเลือดและน้ำเหลือง อาศัยการนวดน้ำมันอโรมา หรือ การใช้ คลื่นแม่เหล้กไฟฟ้ากระตุ้นไปตามทางเดินกายวิภาคของระบบน้ำเหลือง Electro lymphatic drainage therapy ร่วมไปกับ การสนับสนุนให้คนไข้มีการเคลื่อนไหว ออกกำลัง หายใจลึก Breating exercise เพื่อการแลกเปลี่ยนอากาศที่ดี และกระตุ้นระบบไหลเวียนของปอดและกระบังลม
5.1.3 การสนับสนุนการทำงานของตับในการขับสารพิษ จะมีการใช้สารอาหารต่างๆ อาทิเช่น กรดอะมิดน เติมวิตามิน แร่ธาตุ อันเป็นสารสำคัญที่จะสนับสนุนตับให้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น รวมถึง การพิจาณาใช้สารพฤกษเคมี การใช้ออกซิเจน หรือ โอโซนบำบัด ในการสนับสนุนการทำงานของ สัญญาณ nrf2 เพื่อช่วยให้เซลล์สามารถผลิตสารต้านอนุมูลอิสระ และสารสำคัญต่างๆในการขับพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้นอีกด้วย
5.1.4 สารพิษบางประเภท เช่น สารพิษโลหะหนักจะมีลักษณพของประจุไฟฟ้าที่สร้างพันธะจับสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อ จะมีการใช้กรดอะมิโนที่มีคุณสมบัติดูดซับสารโลหะหนักเหล่านี้ออกนอกร่างกาย และขับออกมาทางปัสสาวะ เรียกว่า การทำคีเลชั่นบำบัด
5.1.5 ของเสียสารพิษที่ตับขับออกมาทางน้ำดี จะถูกส่งต่อลงมาในลำไส้ ก่อนขับถ่ายออกไปพร้อมกับอุจจาระ การใช้สมุนไพร หรือ แกลือแร่บำบัดดูดซับพิษในลำไส้ และกระตุ้นการระบาย จึงเป็นการลดการดูดกลับพิษเข้าตัว และเร่งระบายของเสียออกนอกร่างกายได้ดีขึ้น นำไปสู่แนวทางการสวนล้างลำไส้ด้วยน้ำสะอาดหรือ Colonhydrotheray เพื่อกำจัดขยะของเสียเหล่านี้ออกได้ดีขึ้นอีกด้วย
การพิจารณาเลือกใช้เทคนิคการขับสารพิษเหล่านี้จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ เพราะเมื่อเวลาขับสารพิษใดๆออกจากร่างกาย อาจเกิดอาการไม่พึงปรสงค์ต่างๆได้อาทิเช่น ผื่นขึ้น ไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว ที่มักเรียกกลุ่มอาการนี้ว่า ภาวะซ่านพิษ หรือ Herximer reaction ได้
เมื่อการคั่งค้างของสารพิษที่สะสมมาเหล่านี้ลดลง คนไข้จะมีภูมิต้านทานที่แข็งแรงขึ้น และสามารถฟื้นฟูร่างกายต่างๆได้ดีขึ้นตามมา
5.2 Nutrition
5.3 Exercise
5.4 Mood and emotional support
5.5 Tumor microenvironmental therapy : HBOT , Systemic hyperthermia , Rolee of gut microbiota