มะเร็งของเซลล์ในระบบน้ำเหลือง แบ่งได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ

    • ฮอดจ์กิน (Hodgkin Lymphoma)
    • นอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin Lymphoma)
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
    • อายุที่เพิ่มขึ้น
    • ภูมิคุ้มกันที่ลดลง หรือ ภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ
    • การติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัส EBV
    • การสูบบุหรี่
    • ประวัติครอบครัว
    • น้ำหนักตัวที่มากผิดปกติ

อาการแสดง ที่พบบ่อยได้แก่

    • มีไข้ไม่ทราบสาเหตุ
    • มีก้อนตามลำตัว โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นพื้นที่ของต่อมน้ำเหลืองเช่น ลำคอ ไหปลาร้า รักแร้ ขาหนีบ บางส่วนพบก้อนในช่องอกและช่องท้อง
    • มีเหงื่อออกช่วงเวลากลางคืน
    • น้ำหนักลดผิดปกติ
    • อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร

ความเป็นไปของโรคอาจพบลักษณะที่โรคลุกลามอย่างรวดเร็ว (aggressive) หรือ โรคที่ลุกลามแบบช้า ๆ (indolent) มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิดสามารถรักษาให้หายได้ หรือรักษาให้โรคสงบได้เป็นระยะเวลานาน

การวินิจฉัย การพิสูจน์ชิ้นเนื้อ (Biopsy)

การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองตามมาตรฐานการแพทย์ปัจจุบัน

มาตรฐานการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองเน้นไปที่การให้ยาที่มีผลต่อทุกส่วนของร่างกาย ได้แก่การให้ยาเคมีบำบัด ยาพุ่งเป้า ยาภูมิคุ้มกันบำบัด  การฉายแสงเฉพาะจุด และหรือการใช้เซลล์บำบัด (Stem cell therapy, CAR T-cell therapy)

การรักษาร่วมกับการรักษามาตรฐาน

  1. การบำบัดด้วยโอโซน (Ozone therapy) จะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และส่งเสริมผลการรักษาในการควบคุมโรค อีกทั้งภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงขึ้นจะช่วยควบคุมการติดเชื้อไวรัสในร่างกายและยังกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารต้านอนุมูลิสระเพิ่มขึ้น ผลข้างเคียงอาจพบมีปฏิกิริยา Herxheimer reaction (มีไข้ปวดหัว มีผื่น) เป็นสภาวะที่แก้ไขได้ และ ไม่อันตราย
  2. การบำบัดด้วยความร้อน (Hyperthermia) การบำบัดด้วยความร้อน ช่วยกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น
    เหมือนมีไข้เทียม โดยส่วนมากใช้เป็นเทคนิคการรักษาร่วมกับการให้เคมีบำบัด โดยจะให้หลังหรือให้ในวันเดียวกับที่ได้เคมีบำบัด เพื่อให้เคมีบำบัดทำงานได้ดีขึ้นยาสามารถกระจายเข้าสู่เนื้อเยื่อมะเร็งได้มากขึ้น และเร่งปฏิกิริยาเคมีผลข้างเคียงในบางรายอาจทำให้มีอาการเวียนศีรษะหรือคลื่นไส้ อาเจียน
  3. การบำบัดด้วยการนวดระบายน้ำเหลือง (ELT; electro-lymphatictherapy)เป็นการนวดร่างกายไปตามระบบท่อน้ำเหลืองโดยใช้เครื่องมือ ที่มีกลไกการทำงานในแง่ของคลื่นไฟฟ้า แสง และการสั่น เพื่อให้น้ำเหลืองไหลเวียนได้ดี ลดการคั่งของของเสีย ลดการอ่อนเพลีย และเมื่อยล้า
  4. การบำบัดด้วยแสง (Light therapy) การใช้แสงสีแดง (low-level red infrared light) สามารถช่วยลดผลข้างเคียงเช่นอาการชาปลายมือ ปลายเท้า หรือ ช่วยในเรื่องเยื่อบุช่องปากอักเสบ และผิวหนังอักเสบจากยาเคมีบำบัดบางชนิดได้การใช้แสงสีอื่น ๆ ในการช่วยรักษาอาการปวด อาการอ่อนเพลีย การนอนหลับ หลังจากได้ยาเคมีบำบัด
    เป็นต้น
  5. การให้สารน้ำทางเส้นเลือด หากทานได้น้อยกว่าปกติเป็นเวลานาน หรือมีภาวะผอมหนังหุ้มกระดูก (Intravenous nutrition)
  6. หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดการอักเสบกับลำไส้และร่างกาย (Food intolerance)
  7. การปรับวิถีชีวิต ให้แข็งแรงเพื่อสู้กับโรค (Lifestyle modification)
  8. สารสกัดหรืออาหารเสริม ได้แก่ วิตามินดี3 ไวตามินซี  สังกะสี กระเทียม  สารสกัดเมล็ดองุ่น (Grapeseed extract)สารสกัดชาเขียว (EGCG) omega-3 fish oil
  9. การใช้ Mistletoe ในการเสริมการรักษา
Share