รายงานสถิติมะเร็งจาก World Cancer Research Fund International ปี 2020 พบว่ามะเร็งตับเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 6 ทั่วโลก แต่จากรายงานสถิติกรมการแพทย์ปี 2564 มะเร็งเซลล์ตับ (Hepatocellular carcinoma, HCC) และมะเร็งท่อน้ำดี (Cholangiocarcinoma, CCA) เป็นมะเร็งที่พบได้มากเป็นอันดับ 1 ในไทย และมีอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งที่สูงเนื่องจากการตรวจวินิจฉัยเมื่อมีอาการแล้ว ทำให้ตัวโรคมักจะเข้าสู่ระยะลุกลาม ดังนั้นการทราบเหตุปัจจัยเสี่ยงและหลีกเลี่ยง ร่วมกับการตรวจคัดกรองอย่างเหมาะสมจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

     Hepatocellular carcinoma (HCC) เกิดจากเซลล์เนื้อตับ (Hepatocyte)ที่กลายพันธุ์และแบ่งตัวผิดปกติ พบมากเป็นอันดับ 1 ของมะเร็งปฐมภูมิตับ สามารถตรวจวินิจฉัยได้ด้วยการทำ CT scan, MRI หรือ การเจาะตรวจชิ้นเนื้อ Liver biopsy

     ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ โรคตับแข็ง โรคไวรัสตับอักเสบ B,C เรื้อรัง  โรคอ้วนและภาวะ Metabolic syndrome การสะสมสารพิษบางชนิดเช่น สารอะฟลาท็อกซินที่พบในเชื้อราในอาหารประเภทข้าวโพด ถั่ว ธัญพืช, ไนโตรซามีนในอาหารแปรรูปเช่น ไส้กรอก เบคอน, สารหนูที่ปนเปื้อนในน้ำประปา ปุ๋ย  Vinyl Chloride ในอุตสาหกรรมพลาสติก บุหรี่ และแอลกอฮอล์

     ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวควรได้รับการตรวจเฝ้าระวังทุก 6 เดือนด้วยการเจาะเลือดดูระดับ AFP (Alpha-feto protein) และ อัลตราซาวด์ตับ

ระยะของมะเร็งตับและวิธีการรักษานิยมอิงตาม Barcelona-clinic liver cancer staging ในการประเมินเป้าหมายการรักษา และแนวทางการรักษาที่เหมาะสม ได้แก่การผ่าตัด, การทำลายมะเร็งด้วยการใช้คลื่นวิทยุ (Radiofrequency ablation, RFA), การผ่าตัดเปลี่ยนตับ (Liver transplant), การอุดเส้นเลือดแดงที่ตับเพื่อลดการเจริญเติบโตของมะเร็ง (Transarterial chemoembolization, TACE) และ การใช้ยาพุ่งเป้า (Targeted therapy, Sorafenib, Lenvatinib) โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

    1. ปัจจัยด้านมะเร็ง (Tumor burden)
    2. ปัจจัยด้านผู้ป่วย (Performance status)
    3. การทำงานของตับ (Liver reserve)
Stageการรักษาอัตราการรอดชีวิตเป้าหมายการรักษา
A – EarlyAblation, Resection, RFA, Liver Transplant>5 ปี (40 – 70%)หายขาด 30%
B – IntermediateTACE11 – 20 เดือนประคับประคอง
C – AdvancedSorafenib11 – 20 เดือนประคับประคอง
D – EndSymptomatic treatment<3 เดือนประคับประคอง

     Intrahepatic cholangiocarcinoma (ICCA) เกิดจากเซลล์ท่อน้ำดี (Cholangiocyte) ที่กลายพันธุ์และแบ่งตัวผิดปกติ พบมากเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งปฐมภูมิตับ สามารถวินิจฉัยได้ด้วยการทำ CT scan หรือ MRI

     มีสาเหตุจากการอักเสบเรื้อรังของท่อน้ำดีซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงได้แก่ โรคพยาธิใบไม้ในตับ, โรคท่อน้ำดีตีบจากพังผืด (Primary sclerosing cholangitis), โรคความผิดปกติของท่อน้ำดีแต่กำเนิด เช่น Calori’s disease, Congenital hepatic fibrosis, Choledochal cyst, การได้รับสารทึบรังสี Thorotrast, โรคอ้วน เป็นต้น

     ในปัจจุบันยังไม่มีคำแนะนำด้านการตรวจคัดกรองมะเร็งตับที่เป็นมาตรฐานสากลเนื่องจากเป็นโรคที่มีความหายากในต่างประเทศ แต่ในประเทศไทยพบกลับอุบัติการณ์ของโรคนี้มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่นิยมรับประทานอาหารประจำภูมิภาคคือปลาร้าดิบ ทำให้มีอัตราผู้ติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับที่สูงขึ้น ดังนั้นการตรวจคัดกรองจึงควรพิจารณาในกลุ่มเสี่ยงข้างต้น โดยการตรวจอัลตราซาวด์ร่วมกับการเจาะเลือดตรวจ Tumor marker ได้แก่ CA-19-9 และ CEA ในการร่วมประเมิน หากมีความผิดปกติดังกล่าวก็ควรได้รับตรวจทางรังสีวินิจฉัยด้วย CT scan, MRI เพิ่มเติม

     ระยะของมะเร็งตับและวิธีการรักษานิยมอิงตาม TNM staging (Tumor size, Node involvement, Metastatic) ซึ่งประเมินขนาดมะเร็ง สถานะต่อมน้ำเหลือง สถานะการกระจาย การรักษาหลักของมะเร็งตับคือการผ่าตัด ส่วนในผู้ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้จะเป็นการให้ยาเคมีบำบัด, การรักษาเฉพาะที่ (Locoregional therapy) เช่น การฉายรังสี (Radiation), RFA, TACE และการให้ยาพุ่งเป้า (Targeted therapy)

Stage

การรักษา

อัตราการรอดชีวิต

เป้าหมายการรักษา

I

Curative Resection

5 ปี 40%

หายขาด

II

Non-curative Resection with adjuvant therapy

5 ปี 20%

ประคับประคอง

III

Locoregional therapy Chemotherapy

RF/TACE: 15 เดือน

Chemotherapy: 12 เดือน

ประคับประคอง

IV

Chemotherapy

ประคับประคอง

     ผลข้างเคียงจากการรักษาคือ มีโอกาสเกิดภาวะตับวาย เนื่องจากการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ จะทำให้เซลล์ตับบริเวณข้างเคียงได้รับความเสียหายทั้งจากตัวโรคและการรักษาจะทำให้ผู้ป่วยแย่ลงจากการขาดสารอาหารที่จำเป็น การย่อยอาหารผิดปกติ จุลินทรีย์ในลำไส้เสียสมดุล ขาดการขับสารพิษที่มีประสิทธิภาพ ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้ทนต่อผลข้างเคียงการรักษาไม่ไหวย่อมทำให้อัตราการตอบสนองต่อการรักษาลดลง, อวัยวะบริเวณข้างเคียงบาดเจ็บจากการผ่าตัดได้แก่ หลอดเลือด ถุงน้ำดี ตับอ่อน ลำไส้ เป็นต้น ผลข้างเคียงจากยาพุ่งเป้าได้แก่ ผื่นแดง ฝ่ามือฝ่าเท้าเป็นตุ่มน้ำลอก ถ่ายเหลว ปวดท้องคลื่นไส้อาเจียน ผมร่วง ผิวแห้งคัน เยื่อบุช่องปากอักเสบ เป็นต้น

     บทบาทของการรักษามะเร็งตับด้วยการแพทย์แผนบูรณาการ คือการรักษาที่ครอบคลุมทุกมิติของโรคมะเร็งด้วยการใช้วิธีผสมผสานหลายศาสตร์ทั้งการใช้โภชนบำบัด เอนไซม์บำบัด โอโซนบำบัด ภูมิคุ้มกันบำบัด เซลล์บำบัด ร่วมกันเพื่อเพิ่มโอกาสการตอบสนองต่อการรักษา ลดผลข้างเคียง ฟื้นฟูซ่อมแซมอวัยวะที่บาดเจ็บ และลดการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็งด้วยการแก้ที่สาเหตุปัจจัยก่อมะเร็ง ปรับสภาวะแวดล้อมของมะเร็ง (Tumor microenvironment, TME) และเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง เช่นการล้างพิษตับ ล้างพิษลำไส้ ลดการอักเสบ ฟื้นฟูเซลล์ตับ ปรับสมดุลจุลินทรีย์ เสริมการย่อยอาหาร การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ การใช้ยาเสริมฤทธิ์การรักษา (Repurposing medicine)

Share