• ทำไมจึงเป็นโรคภูมิแพ้
  • ภูมิแพ้หายได้เองหรือเปล่า
  • การรักษาภูมิแพ้แบบฉบับ
  • การรักษาภูมิแพ้แบบผสมผสาน

 

วันนี้เราจะมาว่ากันเรื่องโรคยอดฮิต ที่เป็นกันเกือบจะครึ่งประเทศ ก็คือเรื่องภูมิแพ้ ในมุมมองของการแพทย์บูรณการกันบ้าง ภูมิแพ้ เป็นโรคที่พบได้บ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะ 40 ปีมานี้ มีโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้น 3-4 เท่า

ปัจจุบันในประเทศไทย มีอุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้โดยเฉลี่ยดังนี้ :

โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร้อยละ 23-30, โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคหืดร้อยละ 10-15, โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ร้อยละ 15 และโรคแพ้อาหาร ร้อยละ 5 เด็กมีอัตราการเป็นภูมิแพ้มากกว่าผู้ใหญ่

ก่อนจะเข้าใจเรื่องภูมิแพ้ ต้องทำความเข้าใจ ระบบป้องกันภยันตรายของร่างกายก่อนว่า เรามีระบบป้องกันตนเอง จากเชื้อโรคแปลกปลอมที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราได้สัมผัส หรือรับเข้าไปผ่านเส้นทางต่างๆ เช่น หายใจ ดื่ม กิน เข้าไป  ซึ่งระบบนี้สลับซับซ้อนมาก และมีรายละเอียดเฉพาะตัวที่ยากจะทำให้เข้าใจได้ง่าย ๆ แต่อย่างน้อยที่สุด ก็พอจะสรุปได้คร่าวๆ ว่า ระบบนี้ มีเม็ดเลือดขาว, ภูมิคุ้มกัน และสารตัวกลาง mediators เป็นส่วนสำคัญ

เม็ดเลือดขาวมีหลายชนิด ตัวอย่างเช่น ลิมโฟซัยท์ชนิดบีเซลล์ ทำหน้าที่ผลิตภูมิคุ้มกัน ลิมโฟซัยท์ชนิดทีเซลล์ ทำหน้าที่ปล่อยสารมาทำลายสิ่งแปลกปลอมรวมทั้งก่อให้เกิดการอักเสบการแพ้ เม็ดเลือดขาวบางชนิดทำหน้าที่เก็บกินเชื้อโรคเช่นนิวโตรฟิล มาโครฟาจ เป็นต้น  ทั้งหมดนี้จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับทั้งการต่อสู้เชื้อโรคและการก่อภูมิแพ้ โดยผ่านการผลิตภูมิคุ้มกัน และการหลั่งของสารตัวกลาง สารตัวกลางมีทั้งที่ช่วยต้านเชื้อโรค ก่อให้เกิดการอักเสบ เช่น ไซโตไคน์ต่างๆ  แต่บางครั้งสารตัวกลางเป็นตัวก่อปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่างๆ  เช่น ฮีสตามีน  ซึ่งเรารู้จักกันดีเวลาเราไปซื้อยาแก้แพ้ประเภท แอนตี้ฮีสตามีน นั่นเอง

ทำไมจึงเป็นโรคภูมิแพ้

คำตอบก็คือ ระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่คอยป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ให้กับร่างกาย เกิดการตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้  แล้วสร้างสารตัวกลางที่ทำให้เกิดอาการ ผื่นคัน น้ำมูกไหล จาม ปวดท้อง ท้องเสีย หายใจไม่ออก หอบหืด ฯลฯ ทั้งที่ในคนปกติ สารก่อภูมิแพ้ ไม่ได้ทำให้เกิดปฏิกิริยาเช่นว่านี้ สารก่อภูมิแพ้ มักจะเป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วๆ ไป เช่น ขนหมา ขนแมว ละอองเกสรดอกไม้ ฝุ่นในบ้าน ไรฝุ่น สารเคมีต่างๆ อาหาร ควัน ฯลฯ

ภูมิแพ้หายได้เองหรือเปล่า

เรามักเคยได้ยินว่า ภูมิแพ้ในเด็กพอโตขึ้นอาการก็จะดีขึ้นเอง ความจริงแล้วอย่าเพิ่งดีใจเร็วไป หรือคิดว่า เรื่องภูมิแพ้มันจะง่ายขนาดนั้น เพราะจากรายงานการวิจัย เราพบว่า เด็กประมาณ 30-50% ที่เป็นโรคภูมิแพ้ จะมีอาการดีขึ้นหรือหายไป เมื่อเขาเข้าสู่วัยรุ่น แต่ในที่สุดก็มักจะกลับมาเป็นใหม่ เมื่ออายุมากขึ้น  ส่วนที่เหลือ คือประมาณ 50-70% จะมีอาการไปเรื่อยๆ จนเป็นผู้ใหญ่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้ ยุคที่สิ่งแวดล้อมเต็มไปด้วยพิษจากสารเคมีชนิดต่างๆ  ล้วนกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ขึ้นกับสารต่างๆ ดังนั้น นับวัน คนเป็นภูมิแพ้ก็จะมากขึ้น อาการก็เพิ่มขึ้น รักษาก็ยากขึ้น และโอกาสหายก็น้อยลง

การรักษาภูมิแพ้แบบฉบับ

การรักษาภูมิแพ้แบบฉบับ ในปัจจุบันนี้ จะประกอบด้วย การใช้ยาระงับปฏิกิริยาภูมิแพ้ เช่น ไซร์เทค, คลาริทีน เทลฟาส การใช้ยาป้องกันปฏิกิริยาการอักเสบซึ่งเกิดขึ้นหลังจากเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เช่น ซิงกูแลร์ ฯลฯ ซึ่งต่างก็เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ และต้องใช้ยาไปยาวนาน นอกจากนี้ก็มีการหาสารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ ไปจนถึง การฉีดวัคซีนที่ทำจากสารก่อภูมิแพ้เจือจาง ซึ่งกินเวลานาน เสียค่าใช้จ่ายมาก ได้ผลราว 30% เท่านั้น สุดท้ายหากอะไร ๆ ก็เอาไม่อยู่จริง ๆ ก็ต้องพึ่งสเตียรอยด์ หรือยากดภูมิคุ้มกันอื่นๆ ซึ่งมีทั้งแบบกิน แบบฉีด แบบทา แบบสูดพ่น ขึ้นชื่อว่าสเตียรอยด์แล้ว ก็หนีไม่พ้นผลข้างเคียง เมื่อต้องใช้ไปนานนาน

การรักษาภูมิแพ้แบบผสมผสาน

เราคงเคยได้ยินว่า คนเป็นภูมิแพ้มีอาการดีขึ้น เมื่อไปกินอาหารเสริมบางอย่าง หรือเลิกกินอาหารบางอย่าง เช่น น้ำมันจมูกข้าว น้ำมันโอเมก้า เป็นต้น ความจริงแล้วเป็นเพราะน้ำมันเหล่านั้นมีสารยับยั้งขบวนการอักเสบ จึงมีผลทำให้ภูมิแพ้บางคนดีขึ้น บางคนกินเห็ดหลินจือแล้วดีขึ้น เนื่องจากเห็ดหลินจือมีสารสเตอรอลธรรมชาติอยู่ หากมองในแง่ฤทธิทางยา ก็ไม่ต่างอะไรกับการกินยา เพียงแต่ว่าเป็นอาหารเสริม จึงอาจมีผลข้างเคียงต่ำกว่า

ในเรื่องการแพ้อาหาร ปัจจุบันเราพบว่ามีภูมิคุ้มกันก่อการแพ้อาหารชนิดเชื่องช้า delay type food allergy IgG คือเมื่อก่อนนี้ การแพ้อาหารจะเป็นเรื่องของภูมิคุ้มกันชนิด IgE ซึ่งเราสามารถตรวจได้จากเลือด ต่อมาในยุคนี้เราสามารถตรวจการแพ้อาหารที่ไม่ได้เป็นทันที และผู้ป่วยมักจะไม่รู้ว่าตนเองแพ้อาหารชนิดนั้น แต่จะมีอาการของโรคภูมิแพ้อยู่ตลอดเวลา เช่น ปวดศรีษะ คัดจมูก เป็นผื่นผิวหนังชนิดเรื้อรัง ฯลฯ เมื่อตรวจเลือดพบการแพ้ชนิดนี้ แล้วงดอาหารประเภทนั้นไป ก็สามารถหยุดอาการแพ้ได้สนิท โดยไม่ต้องรับประทานยาแก้แพ้อีกต่อไป การตรวจเลือดชนิดนี้ เขาจะมีชุดตรวจสำหรับอาหารคนเอเชียโดยเฉพาะ ซึ่งจะตรวจภูมิคุ้มกันต่ออาหารที่อาจจะแพ้ได้นับร้อยรายการ  แม้ว่าจะยังไม่สามารถตรวจได้ในประเทศ แต่อาจไปขอตรวจจากที่ซึ่งส่งเลือดไปต่างประเทศ เช่นที่ Vitalife, Add-life หรือAbsoluteHealth เป็นต้น

ปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อภูมิแพ้ ที่สำคัญมากคือ ความเครียด เพราะความเครียดทำให้ต่อมหมวกไตล้า และส่งเสริมการอักเสบในร่างกาย ไม่ใช่เฉพาะแต่ความเครียดทางจิตใจเท่านั้น ความเครียดทางกายด้วย เช่น ไม่ได้พักผ่อน ทำงานหรือเที่ยวจนดึก ๆ หรือข้ามวัน  ผู้ป่วยภูมิแพ้หลายคนอาการดีขึ้น เมื่อเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต งดเหล้า งดบุหรี่ เลิกเที่ยวกลางคืน หันมานั่งสมาธิ

เพิ่มไปกว่านี้ ก็เป็นเรื่องของการปรับระบบภูมิคุ้มกันใหม่ ซึ่งต้องไปแก้ไขที่ต้นตอคือ ต่อมไทมัส ซึ่งทำหน้าที่ฝึกสอนระบบภูมิคุ้มกันชนิด T cell ให้จดจำเชื้อโรค รวมถึงรู้จักการทำงานต่างๆ ในระบบอันซับซ้อน เช่น ทำลายสิ่งผิดปกติ Natural Killer CD 161, ช่วยส่งเสริมการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน Helper or Effector CD4+ , ทำลายเชื้อโรคและมะเร็ง Cytotoxic T cell CD8+ ,จดจำสิ่งแปลกปลอม Memory T cell CD4/8 , ระงับปฏิกิริยาภูมิคุ้มกัน suppressor T cell เป็นต้น  ความผิดพลาดในการทำหน้าที่ของต่อมไทมัส ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ รวนไป เราจึงพยายามแก้ไขที่สาเหตุด้วยการฟื้นฟูต่อมไทมัส ซึ่งสามารถช่วยให้ภูมิแพ้ที่เป็นอยู่หายไปได้

สุดท้ายอยากจะฝากบอกว่า ถ้าเป็นภูมิแพ้แล้ว แน่นอนจำเป็นต้องรักษา แต่การพึ่งยาตลอดไป อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายก็เป็นได้  หากหาสาเหตุให้พบ แล้วเข้าไปแก้ไขที่สาเหตุโดยตรง ก็มีสิทธิ์ปลอดจากภูมิแพ้ได้ หรืออย่างน้อย เปลี่ยนวิธีมาเป็นการปฏิบัติตนเองเพื่อเอาชนะโรคนี้ โดยไม่ต้องอาศัยยาอีกต่อไป

 

Share

ภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้โรคยอดฮิตของคนทุกเพศทุกวัย ต่างก็อยากทราบว่า ภูมิแพ้ต้องพึ่งยาเท่านั้นหรือ? มีวิธีแก้ไขที่ต้นตอของปัญหาบ้างหรือไม่ คำตอบจะเป็นเช่นไรไปค้นหาพร้อมๆกัน

โรคภูมิแพ้ คือ โรคที่ร่างกายจะมีปฏิกิริยาไวต่อสารก่อภูมิแพ้ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังที่เยื่อบุของอวัยวะต่างๆในร่างกาย เช่น ผิวหนังเยื่อบุโพรงจมูก เยื่อบุตาขาว เยื่อบุทางเดินหายใจ หรือเยื่อบุทางเดินอาหาร เป็นต้น

เมื่อร่างกายสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้จะมีปฏิกิริยาอักเสบ 2 แบบ คือ

  • IgE เป็นการแพ้อย่างเฉียบพลัน จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เช่น การแพ้ยา การแพ้อาหาร
  • IgG เป็นการแพ้อย่างเชื่องช้า เพราะบางครั้งรับประทานอาหาร 2 วัน แล้วมีอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษา เกิดผื่นขึ้นตามตัวจึงมีบางคนที่งดขนมปัง งดข้าว งดเนย งดนม งดไข่ สักระยะมีอาการดีขึ้น ซึ่งในเด็กเล็กและเด็กโตมักจะเกี่ยวข้องกับอาหารค่อนข้างมาก

ปัจจัยที่ส่งเสริมการเกิดโรคภูมิแพ้ที่สำคัญ คือ พันธุกรรม ถ้าบิดาหรือมารดาเป็นโรคภูมิแพ้บุตรมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ สิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ อาหาร สารเคมี เป็นต้น พฤติกรรมการดำรงชีวิต เช่น การรับประทานอาหาร การนอน การออกกำลังกาย และความเครียด

การรักษาโรคภูมิแพ้แบบการแพทย์ทั่วไป เน้นการใช้ยาและยากลุ่มสเตียรอยด์ ยากดภูมิคุ้มกัน นับเป็นการรักษาที่ปลายเหตุและต้องใช้ยาในระยะยาว สำหรับยาสเตียรอยด์เมื่อใช้ไปนานๆย่อมมีผลข้างเคียง และนอกจากนี้ยังมีการหาสารภูมิแพ้เพื่อเลี่ยงสิ่งที่แพ้และฉีดวัคซีนที่ทำจากสารก่อภูมิแพ้เจือจาง แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา

การรักษาโรคตามแนวทางการแพทย์แบบบูรณาการ แก้ไขที่ต้นเหตุของการเกิดโรค ร่วมกับการปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

  • ตรวจภูมิคุ้มกันชนิด IgG การแพ้อาหารแบบแอบแฝง เมื่อพบการแพ้และงดอาหารประเภทที่แพ้ สามารถหยุดอาการแพ้ได้สนิท โดยไม่ต้องรับประทานยาแก้แพ้อีกต่อไป
  • โภชนาการบำบัด ที่มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบของร่างกายในแง่ของแพทย์ด้านธรรมชาติบำบัดจะนิยมใช้ สารอาหารจากธรรมชาติ เช่น กรดไขมันโอเมก้า สารสกัดขมิ้นชัน ไพล ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบจากภาวะภูมิแพ้ได้โดยที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า การใช้ยาลดการอักเสบประเภทสเตียรอยด์นั่นเอง
  • ลดปัจจัยที่มีผลต่อภูมิแพ้ โดยเฉพาะความเครียดทางกาย ทางใจ ความเครียดทำให้ต่อมหมวกไตล้าและส่งเสริมการอักเสบในร่างกาย หลายคนอาการดีขึ้นเมื่อปรับวิถีชีวิต งดเหล้า งดบุหรี่ เป็นต้น
  • การปรับระบบภูมิคุ้มกันใหม่ แก้ไขที่ต้นตอ โดยการฝึกสอนระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถจดจำเชื้อโรคและสามารถทำหน้าที่ได้เต็มประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถช่วยให้ภูมิแพ้ที่เป็นอยู่หายได้

ภูมิแพ้เป็นแล้วการรักษาคือสิ่งจำเป็น แต่การพึ่งยาตลอดไปอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะถ้าหาสาเหตุพบและแก้ไขตรงจุดก็มีสิทธิ์ปลอดจากภูมิแพ้ หรืออย่างน้อยเปลี่ยนวิธีจะช่วยให้สุขภาพดีได้ไรผลข้างเคียง

การรักษาแบบบูรณาการ

แก้ไขที่ต้นเหตุของการเกิดโรค ร่วมกับการปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

  • โภชนบำบัด ที่มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบของร่างกายในแง่ของแพทย์ด้านธรรมชาติบำบัดจะนิยมใช้ สารอาหารจากธรรมชาติเช่น กรดไขมันโอเมก้า สารสกัดจากขมิ้นชัน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบจากภาวะภูมิแพ้ได้โดยที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่าการใช้ยาลดการอักเสบประเภทสเตียรอยด์นั่นเอง

  • ลดปัจจัยที่มีผลต่อภูมิแพ้ โดยเฉพาะความเครียดทางกาย ทางใจ ความเครียดทำให้ต่อมหมวกไตล้า และส่งเสริมการอักเสบในร่างกาย หลายคนอาการดีขึ้นเมื่อปรับวิถีชีวิต งดแอลกอฮอล์ บุหรี่ เลี่ยงอาหารที่แพ้ เป็นต้น

  • วัคซีนลดอาการแพ้ เป็นการหยุดกระบวนการอักเสบโดยวิธีธรรมชาติด้วยการสกัดเอาแอนตี้บอดี้ออกมาจากร่างกายไปทำให้เป็นวัคซีนและฉีดกลับมาที่ร่างกายเพื่อสร้างเม็ดเลือดขาวขึ้นมาต่อต้านเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโดยวิธีธรรมชาติ

  • การปรับระบบภูมิคุ้มกันใหม่ แก้ไขที่ต้นตอ คือ ต่อมไทมัส ซึ่งทำหน้าที่สอนระบบภูมิคุ้มกันชนิด T cell ให้จดจำเชื้อโรครวมถึงรู้จักการทำงานต่างๆในระบบอันซับซ้อน ความผิดพลาดในการทำหน้าที่ของต่อมไทมัส ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต่างๆรวน เราจึงแก้ไขที่สาเหตุด้วยการฟื้นฟูต่อมไทมัสซึ่งสามารถช่วยให้ภูมิแพ้ที่เป็นหายไปได้

ภูมิแพ้หากเป็นแล้ว การรักษาคือสิ่งจำเป็น แต่การรักษาโดยพึ่งยาตลอดอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะถ้าหาสาเหตุพบและแก้ไขตรงจุดก็มีสิทธิ์ปลอดจากภูมิแพ้ หรืออย่างน้อยเปลี่ยนวิธีดูแลตนเองโดยไม่ต้องพึ่งยาอีกต่อไปก็จะช่วยให้มีสุขภาพดีได้โดยไร้ผลข้างเคียง

บทความแนะนำ