การได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง โดยเฉพาะในระยะที่ 4 หรือระยะที่มะเร็งแพร่กระจายแล้ว อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกหวาดหวั่น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของแต่ละระยะของมะเร็ง ตัวเลือกในการรักษา และบทบาทของโปรแกรมประคับประคอง จะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวเผชิญหน้ากับโรคด้วยความหวังและความรู้ที่เพียงพอ
ระยะของมะเร็ง: ภาพรวม
มะเร็งแบ่งออกเป็นระยะต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับขนาดและการแพร่กระจาย:
ระยะที่ 0 (In situ)
มะเร็งยังจำกัดอยู่ในจุดเริ่มต้นและไม่ได้ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อใกล้เคียง
การรักษามักเป็นการผ่าตัดและมีโอกาสหายสูง
ระยะที่ 1 (Localized)
ก้อนเนื้อมีขนาดเล็กและยังไม่แพร่กระจาย
การรักษามักประกอบด้วยการผ่าตัดและบางครั้งรังสีหรือเคมีบำบัด
ระยะที่ 2 (Regional Spread)
มะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้นและอาจลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง
การรักษามักใช้การผ่าตัดร่วมกับรังสีและเคมีบำบัด
ระยะที่ 3 (Advanced Localized)
มะเร็งลุกลามไปยังเนื้อเยื่อโดยรอบหรือต่อมน้ำเหลืองเพิ่มเติม
การรักษามักเป็นการรักษาแบบหลายวิธีร่วมกัน
ระยะที่ 4 (Metastatic)
มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะหรือเนื้อเยื่อที่อยู่ไกลออกไป
เป้าหมายของการรักษาคือการควบคุมโรค ยืดอายุ และบรรเทาอาการ
แนวทางมาตรฐานในการรักษามะเร็งระยะที่ 4
- การรักษาแบบทั่วร่างกาย (Systemic Therapies)
เคมีบำบัด: ฆ่าเซลล์ที่แบ่งตัวอย่างรวดเร็ว แต่มีผลข้างเคียงที่สำคัญ
การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy): เจาะจงไปยังการกลายพันธุ์ในเซลล์มะเร็ง เพื่อลดผลกระทบต่อเซลล์ปกติ เช่น การรักษาด้วย EGFR สำหรับมะเร็งปอด หรือ HER2 สำหรับมะเร็งเต้านม
ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy): กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ต่อสู้กับมะเร็ง เช่น Pembrolizumab ที่มีผลลัพธ์ที่ดีในมะเร็งบางชนิด
การรักษาด้วยฮอร์โมน (Hormonal Therapy): ใช้สำหรับมะเร็งที่ไวต่อฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านมหรือมะเร็งต่อมลูกหมาก
- การฉายรังสี (Radiation Therapy)
ช่วยบรรเทาอาการ เช่น อาการปวด หรือการมีเลือดออกในกระดูก
- การผ่าตัด (Surgery)
ใช้ในบางกรณี เช่น การตัดเนื้อร้ายที่ลุกลามเฉพาะจุด หรือเพื่อบรรเทาอาการ
- การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)
เน้นการจัดการอาการ เช่น อาการปวด อ่อนเพลีย และคลื่นไส้ เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตเป็นหลัก
โปรแกรมบูรณาการมะเร็ง
ผู้ป่วยมะเร็ง ระยะที่สี่ ที่มีการกระจายของโรคไปยังที่ต่างๆ จะมีโอกาสรอดชีวิต 5 ปี ประมาณ 5-10% ดังนั้น นอกเหนือไปจากแนวทางการรักษาแบบปกติมาตรฐานแล้ว สามารถใช้ทางเลือกอื่นๆ ในการเสริมการรักษา เพื่อเพิ่มโอกาสในการควบคุมโรคให้สงบ
Cell based Immunotherapy การใช้เซลล์ภูมิต้านทาน NK cell เซลล์ภูมิต้านทานชนิด Natural Killer Cell สามารถใช้เสริมการรักษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาทางภูมิต้านทานอื่นๆ บ่อยครั้งผลลัพธ์ของการรักษาด้วย ภูมิต้านทานบำบัดแบบ Immune Checkpoint inhibitor (ICI) โดยทั่วไปพบว่ามีการตอบสนองประมาณ 15-30% เนื่องจากความซับซ้อนของภาวะภูมิต้านทานในโรคมะเร็ง ทำให้ผลตอบสนองยังไม่ได้สมบูรณ์นัก ดังนั้นในปัจจุบัน มีการศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของภูมิต้านทานบำบัด หลากหลายวิธี เช่น การใช้ NK cell therapy ร่วมกับ ICI ด้วย การใช้ cancer vaccine ชนิดต่างๆ ร่วมไประหว่างการใช้ ICI เช่น peptide vaccine, DC vaccine, Active Specific Immunotherapy เป็นต้น
การรักษาทาง metabolic cancer treatment เป็นการโฟกัสไปที่วิธีการนำสารอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์มะเร็ง และการเลือกใช้ยาทาง เมตะโบลิก เพื่อทำให้มะเร็งขาดสารอาหาร ซึ่งจะทำให้มะเร็ง ตอบสนองต่อการรักษาต่างๆ ได้ง่ายขึ้น และช่วยให้มะเร็งไม่แพร่กระจายไปเร็ว ตลอดจนหยุดการเจริญเติบโตไปได้ในที่สุด
การใช้พฤษเคมี ที่มีฤทธิ์กำจัดเซลล์มะเร็งแบบมุ่งเป้าหลายตำแหน่ง เช่น curcumin, EGCG, Resveratrol, Quercetin โดยสกัดสารออกฤทธิ์แบบบริสุทธิ์เข้มข้น เพื่อสามารถให้ทางหลอดเลือดดำ มีการศึกษาการใช้พฤษเคมีหลายชนิด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ เคมีบำบัด เพิ่มประสิทธิภาพของรังสีรักษา เพิ่มประสิทธิภาพของยามุ่งเป้าแบบตำแหน่งเดียว นอกจากนี้แล้ว ในผู้ที่ไม่ได้เลือกการรักษาแบบแผน การใช้พฤษเคมี ร่วมกับการรักษาทางเลือกอื่นๆ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษานั้นๆ ให้ตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น
Detoxification การล้างสารพิษ เนื่องจากมะเร็ง เป็นการตอบสนองของเซลล์ร่างกาย ต่อสิ่งแวดล้อมระดับเซลล์ เข่น พิษจากเชื้อรา aflatoxin, พิษจากเชื้อโรค เช่น H pylori, HPV, HBV, HCV พิษจากสารโลหะหนัก พิษจากสารปนเปื้อนในอาหารเช่น ยาฆ่าแมลง เป็นต้น พิษต่างๆ สะสมมากเข้า ในเนื้อเยื่อ จนเซลล์ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ จึงต้องเข้าขบวนการกำจัดทิ้ง แต่ขบวนการกำจัดทิ้ง มีขีดความสามารถระดับหนึ่ง หากเซลล์ที่เสื่อมเสียหายไป มีเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็จะหลุดรอดขบวนการกำจัดทิ้ง เนื่องจากเกินขึดความสามารถ เซลล์ที่หลุดรอดขบวนการกำจัดทิ้ง ก็จะกลายพันธุ์ต่อในแบบที่เป็นกลไกเพื่อความอยู่รอด กลายเป็นโรคมะเร็งในที่สุด ดังนั้น ไม่ว่าเราจะรักษามะเร็งได้ดีเพียงใด หากไม่ปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมระดับเซลล์ ให้สะอาดเพียงพอที่เซลล์จะอยู่รอดได้ ก็จะเกิดการสร้างเซลล์มะเร็งใหม่ขึ้นมาอีก อยู่ตลอดเวลา ทำให้ในที่สุด แม้ว่าโรคจะสงบไปแล้ว มะเร็งก็จะกลับมาอีกเรื่อยๆ ได้ การรักษาที่ดี จึงต้องปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมภายในเซลล์ ไม่ให้มะเร็ง ก่อตัวขึ้นมาอีกเรื่อยๆ เป็นการกำจัดมะเร็งให้สิ้นซาก
Lifestyle medicine มีขบวนการเสริมอีกหลายอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ทั้งด้านอาหาร โภชนาการ การเลือกวิธีปรุงอาหาร การเลือกแหล่งที่มาของสารอาหารจำเป็นต่อร่างกาย การออกกำลังกาย การฝึกการหายใจ การนั่งสมาธิ เทคนิคการปลดปล่อยปมเงื่อนทางอารมณ์ ที่ส่งผลต่อความเครียด หรือภาวะทางจิตใจอื่นๆ รวมถึงภาวะซึมเศร้า เป็นต้น เช่น เทคนิคการเคาะอารมณ์ (EFT) การเข้ากลุ่มสนับสนุนจากเพื่อน เพื่อเป็นการเชื่อมต่อกับผู้ที่เผชิญปัญหาเดียวกัน เพื่อช่วยเสริมสร้างกำลังใจ และแบ่งปันประสบการณ์
สรุป
การวินิจฉัยมะเร็งระยะที่ 4 ต้องการการดูแลแบบองค์รวม ซึ่งรวมถึงการรักษาแบบก้าวหน้า โปรแกรมดูแลผู้รอดชีวิต และการบำบัดเสริม การผสมผสานระหว่างวิธีการรักษาแบบดั้งเดิมและทางเลือกช่วยให้ผู้ป่วยจัดการกับอาการ ปรับปรุงคุณภาพชีวิต และค้นพบความแข็งแกร่งในเส้นทางของตน
นพ.ฉัตรชัย ศรีบัณฑิต
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้ก่อตั้ง ศูนย์การแพทย์ อคีซีส ไลฟ์