รายงานสถิติมะเร็งจาก World Cancer Research Fund International ปี 2020 พบว่ามะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ทั่วโลก ซึ่งสัมพันธ์กับรายงานสถิติกรมการแพทย์พบว่ามะเร็งต้านมเป็นมะเร็งที่พบได้มากเป็นอันดับ 1 ของผู้หญิงไทย (เป็นอันดับ 3 หากรวมทั้งเพศชายและหญิง รองจากมะเร็งตับและมะเร็งปอด) อีกทั้งยังเป็นมะเร็งที่ทำให้เสียชีวิตมากที่สุดในเพศหญิง

     Breast cancer เกิดจากเซลล์ต่อมน้ำนม (Lobular cell) หรือ เซลล์ท่อน้ำนม (Ductal cell) ที่กลายพันธุ์และแบ่งตัวผิดปกติ สามารถตรวจวินิจฉัยได้ด้วยการทำ Triple assessment คือการตรวจร่างกายประเมินลักษณะทางกายภาพของเนื้องอก, ภาพทางรังสีวินิจฉัย (Ultrasound, Mammogram) และ การตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา (Pathology)

     ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ การใช้ยาคุมกำเนิด, ประวัติโรคมะเร็งเต้านมในครอบครัว, ตรวจพบการกลายพันธุ์ของยีน BRCA 1/2 , p53, การเริ่มมีประจำเดือนเร็ว (ก่อน 12 ปี), หมดประจำเดือนช้า (หลัง 55 ปี), ไม่มีบุตร หรือมีบุตรหลังอายุ 30 ปี, การได้รับสารพิษรบกวนการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine-disrupting compound, EDC) เช่น Bisphenol A (BPA), Phthalates, Diethylstilbestrol, Cadmium

     การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมสามารถเริ่มทำได้ด้วยตัวเอง (Breast self-examination), การตรวจโดยแพทย์และการใช้ Ultrasound, Mammogram ทุก 1-2 ปี สามารถเริ่มได้ตั้งแต่อายุ 35 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มความเสี่ยงสูงข้างต้นควรได้รับการคัดกรองก่อนกำหนด 5 – 10 ปี

ระยะของมะเร็งเต้านมและวิธีการรักษานิยมอิงตาม TNM staging (Tumor size, Node involvement, Metastatic) และ NCCN (National Comprehensive Cancer Network) guideline โดยคำนึงถึงปัจจัยทางด้านมะเร็ง (ขนาด,ตำแหน่ง,การแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น,ผลการย้อมตัวรับฮอร์โมนทางพยาธิวิทยา) ในการประเมินเป้าหมายการรักษาและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งการรักษาหลักของมะเร็งเต้านมคือการผ่าตัด มีทั้งการผ่าตัดเฉพาะก้อน (Wide excision), การผ่าตัดเก็บเต้านมไว้ (Breast-conserving surgery) และการผ่าตัดทั้งเต้านม (Modified Radical Mastectomy) โดยอาจมีการทำผ่าตัดเสริมสร้างร่วมด้วย (Breast Reconstruction) รวมไปถึงการเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณข้างเคียง (Lymph node dissection) ร่วมกับใช้ยาเคมีบำบัดและฮอร์โมนบำบัด, การรักษาเฉพาะที่ด้วยการฉายรังสี (Radiation)และการใช้ยาพุ่งเป้า (Targeted therapy, Trastuzumab)

     พยากรณ์โรคของมะเร็งเต้านมประกอบด้วยหลายปัจจัย ได้แก่ ระยะของมะเร็งทาง TNM stage, ลักษณะทางพยาธิวิทยาของมะเร็ง (Histologic Grade, Subtype), สถานะตัวรับฮอร์โมนของมะเร็ง (Hormone receptor Status), สถานะโปรตีน HER-2 ของมะเร็ง, ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพของมะเร็ง (Immunohistochemistry, IHC-based biomarker) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตอบสนองต่อรักษา เพื่อนำไปพิจารณาเลือกใช้การรักษาในรูปแบบต่างๆดังที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยลักษณะมะเร็งระยะเริ่มต้น, ลักษณะการแบ่งตัวต่ำ (Grade 1), ตรวจพบสถานะตัวรับฮอร์โมนและโปรตีน HER-2 (ER positive, PR positive, HER-2 positive) จะมีพยากรณ์โรคที่ดี อัตราการหายและการรอดชีวิตสูง

The Influence of Socioeconomic Status on Racial/Ethnic Disparities among the ER/PR/HER2 Breast Cancer Subtypes. Journal of cancer epidemiology. 2015. 813456. 10.1155/2015/813456.

ผลข้างเคียงจากการรักษาคือ มีโอกาสเกิดภาวะทางเดินน้ำเหลืองอุดตันบริเวณแขนจากการผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองและการฉายรังสี ทำให้แขนบวมจากระบบไหลเวียนน้ำเหลืองเสียหาย

ผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัดทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ระบบขับถ่ายผิดปกติ มือเท้าชา ผมร่วง กล้ามเนื้อหัวใจโป่งพอง กดการทำงานของไขกระดูกทำให้เสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อมากขึ้น

ผลข้างเคียงจากยาพุ่งเป้า Trastuzumab ทำให้มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามตัว ปวดศีรษะ การทำงานของหัวใจลดลง

     บทบาทของการรักษามะเร็งเต้านมด้วยการแพทย์แผนบูรณาการ คือการรักษาที่ครอบคลุมทุกมิติของโรคมะเร็งด้วยการใช้วิธีผสมผสานหลายศาสตร์ทั้งการใช้โภชนบำบัด เอนไซม์บำบัด โอโซนบำบัด ภูมิคุ้มกันบำบัด เซลล์บำบัด ร่วมกันเพื่อเพิ่มโอกาสการตอบสนองต่อการรักษา ลดผลข้างเคียง ฟื้นฟูซ่อมแซมอวัยวะที่บาดเจ็บ และลดการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็งด้วยการแก้ที่สาเหตุปัจจัยก่อมะเร็ง ปรับสภาวะแวดล้อมของมะเร็ง (Tumor microenvironment, TME) และเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง เช่นการล้างพิษตับ ล้างพิษลำไส้ ลดการอักเสบ ปรับสมดุลฮอร์โมนเพศ การบำบัดน้ำเหลือง การให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำ การใช้ยาเสริมฤทธิ์การรักษา (Repurposing medicine)

********************************************************************************

Share